การเริ่มต้น สร้างแบรนด์ครีมตัวเอง ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับผู้ที่อยากมีธุรกิจเครื่องสำอางในยุคที่ตลาดความงามเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่การจะก้าวเข้าสู่ธุรกิจนี้ได้อย่างมั่นคง ไม่ใช่เพียงการมีไอเดียหรือเงินลงทุนเท่านั้น สิ่งสำคัญคือการ “เตรียมตัวให้พร้อม” ตั้งแต่ต้น เพื่อให้แบรนด์มีโอกาสประสบความสำเร็จมากที่สุด
1. ศึกษาตลาดและกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน
ก่อนจะ ผลิตครีม หรือเริ่มสร้างแบรนด์ ควรรู้ก่อนว่า “ลูกค้าเราเป็นใคร” เช่น
- วัยรุ่นที่ต้องการครีมรักษาสิว
- วัยทำงานที่มองหาครีมบำรุงผิวหน้า
- กลุ่มผู้รักสุขภาพที่ชอบครีมจากสารสกัดธรรมชาติ
การเจาะกลุ่มชัดเจน จะช่วยให้คุณพัฒนาสูตรและวางแผนการตลาดได้ตรงใจลูกค้า
บทความที่เกี่ยวข้อง รับผลิตครีม วัยเด็ก วัยรุ่น วัยทำงาน แตกต่างกันอย่างไร?
2. วางคอนเซปต์สร้างแบรนด์และ USP (Unique Selling Point)
หากคุณกำลังสร้างแบรนด์ครีมของตัวเอง สิ่งที่ทำให้แบรนด์ครีมคุณแตกต่างจากคู่แข่งคือ คอนเซปต์และจุดขายเฉพาะ (USP) เช่น
- ครีมบำรุงผิวจากสารสกัดออร์แกนิก
- ครีมสำหรับผิวแพ้ง่าย ปราศจากน้ำหอมและพาราเบน
- ครีมกันแดดที่ซึมไว ไม่เหนียวเหนอะหนะ
USP ที่ชัดเจนจะช่วยให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ของคุณได้ง่าย ซึ่งส่งผลต่อยอดขายของคุณอย่างแน่นอน
บทความที่เกี่ยวข้อง สร้างแบรนด์เครื่องสำอางอย่างมืออาชีพ: ทำอย่างไรให้โดดเด่นในตลาด?
3. เลือกโรงงานผลิตครีมที่ได้มาตรฐาน
หนึ่งในหัวใจสำคัญของการ ทำแบรนด์ครีมตัวเอง คือการเลือกโรงงานผลิตที่เชื่อถือได้ ควรพิจารณา:
- ได้มาตรฐาน GMP, ISO, อย., HALAL
- มีบริการพัฒนาสูตร (OEM/ODM) ตามความต้องการในการสร้างแบรนด์
- สามารถให้คำปรึกษาเรื่องการจดทะเบียน อย.และเรื่องกฎหมายอื่นๆที่จำเป็น
- มีประสบการณ์และผลงานกับแบรนด์ดัง
บทความที่เกี่ยวข้อง โรงงานผลิตเครื่องสำอางที่ไหนดี ที่สร้างแบรนด์แบบ OEM ได้
4. จัดการเรื่องกฎหมายและการจด อย.
เรื่องของกฎหมายเกี่ยวกับการจัดจำหน่ายเครื่องสำอาง หรือผลิตภัณฑ์ครีมทุกชนิด ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญอย่างมาก ควรกำหนดและเตรียมการด้านการตรวจสอบและเอกสาร หลายคนไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหน วันนี้เรามี Check List เกี่ยวกับเรื่องกฎหมายเครื่องสำอาง ที่คนสร้างแบรนด์ครั้งแรกควรทราบ ตามตารางด้านล่างนี้
✅ Checklist กฎหมาย & การจด อย. (สำหรับแบรนด์ครีมมือใหม่)
ขั้นตอนย่อย | สิ่งที่ต้องเตรียม/ทำ | ใครรับผิดชอบ | เช็ค ✔️ |
1) เช็กให้ชัดว่า “เป็นเครื่องสำอาง” | ยืนยันว่าเข้านิยามเครื่องสำอาง (ทาบนภายนอก เพื่อทำความสะอาด/เสริมสวย/ระงับกลิ่น ฯลฯ) ไม่ใช่ยา/เวชภัณฑ์ | เจ้าของแบรนด์ | ⬜ |
2) ตรวจส่วนผสมให้ถูกกฎ | ตรวจ “สารต้องห้าม/จำกัดการใช้/สารกันเสีย/สารกันแดด/สี” ตาม ACD (อาเซียน) และเงื่อนไขการใช้ | โรงงาน + เจ้าของแบรนด์ | ⬜ |
3) เลือกผู้ “ผู้ยื่นจดแจ้ง” | ผู้ยื่นได้แก่ ผู้ผลิต/ผู้รับจ้างผลิต/ผู้นำเข้า (ตกลงกับ OEM ว่าใครเป็นผู้ยื่นและรับผิดชอบเอกสาร) | เจ้าของแบรนด์ + OEM | ⬜ |
4) เตรียมบัญชี e-Submission | เปิดบัญชีระบบ e-Submission ของ อย. (ใช้เลขบัตรปชช.ผู้แทน/ข้อมูลนิติบุคคล) | ผู้ยื่นจดแจ้ง | ⬜ |
5) เก็บเอกสารหลักให้ครบ | • ข้อมูลองค์กร (สถานที่ผลิต/นำเข้า/เก็บ)
• รายละเอียดผลิตภัณฑ์: ชื่อไทย-อังกฤษ/ประเภท/จุดประสงค์/ขนาดบรรจุ/วิธีใช้/คำเตือน • สูตรเต็ม (INCI) และเงื่อนไขของสารที่ถูกจำกัดการใช้ • แบบฟอร์ม “จ.ก.” (Jor.Kor.) + ไฟล์ฉลาก/Artwork (ภาษาไทย) • หนังสือมอบอำนาจการใช้เครื่องหมายการค้า/อนุญาตให้ยื่นจด (กรณีแบรนด์ ≠ ผู้ผลิต/ผู้นำเข้า) |
ผู้ยื่นจดแจ้ง + เจ้าของแบรนด์ + OEM | ⬜ |
6) ยื่น “จดแจ้งเครื่องสำอาง” | ยื่นผ่านระบบ e-Submission / อย.กลาง / สสจ. ตามช่องทางที่กำหนด → ชำระค่าธรรมเนียม → รับ “เลขที่ใบรับจดแจ้ง” | ผู้ยื่นจดแจ้ง | ⬜ |
7) ตรวจฉลากภาษาไทยให้ครบถ้วน | ข้อความบังคับหลัก: ชื่อ/ประเภท, ปริมาณสุทธิ, เลขที่ใบรับจดแจ้ง 10 หลัก, รายการส่วนผสม (INCI เรียงตามสัดส่วน), ชื่อ-ที่อยู่ผู้ผลิต/ผู้นำเข้า, เลขรุ่นการผลิต (Lot/Batch), วันหมดอายุหรือสัญลักษณ์อายุการใช้หลังเปิด (PAO) ตามที่ใช้ได้, วิธีใช้/คำเตือนที่จำเป็น | เจ้าของแบรนด์ + ดีไซน์เนอร์ + OEM | ⬜ |
8) จัดทำ “PIF” (แฟ้มข้อมูลผลิตภัณฑ์) | จัดทำและเก็บที่สำนักงานผู้รับผิดชอบ พร้อมตรวจได้: บทสรุปผลิตภัณฑ์, สูตร/สเปก, รายงานประเมินความปลอดภัย (CPSR), วิธีการผลิตตาม GMP, หลักฐานรองรับเคลม ฯลฯ | เจ้าของแบรนด์/ผู้ยื่นจดแจ้ง (ร่วมกับ OEM) | ⬜ |
9) โฆษณาให้ถูกกฎหมาย | ข้อความต้องไม่เกินจริง/เป็นเท็จ/ชวนให้เข้าใจผิด (เลี่ยงเคลมรักษาโรค-เปลี่ยนโครงสร้างผิวแบบยา) และมีหลักฐานรองรับทุกเคลม | ทีมการตลาด + เจ้าของแบรนด์ | ⬜ |
10) ต่ออายุ/อัปเดตข้อมูล | ใบรับจดแจ้งมีอายุ 3 ปี (ยื่นต่ออายุล่วงหน้าได้ 6 เดือน) และต้องอัปเดตเมื่อสูตร/ชื่อ/ฉลาก/ผู้รับผิดชอบเปลี่ยน | ผู้ยื่นจดแจ้ง | ⬜ |
11) หลังวางขาย (กำกับดูแล) | เก็บตัวอย่าง-บันทึกการผลิต/กระจายสินค้า, ระบบรับเรื่องร้องเรียน/เรียกคืน, พร้อมรับการสุ่มตรวจจาก อย. | เจ้าของแบรนด์ + OEM | ⬜ |
กรณี “นำเข้า” สำเร็จรูป (สรุปเพิ่ม): ต้องมีนิติบุคคลไทยหรือผู้แทนในไทยเป็นผู้ยื่น, เอกสารหลักมักรวม CFS/หนังสือมอบอำนาจจากเจ้าของแบรนด์ต่างประเทศ, หลักฐาน GMP ของผู้ผลิตต่างประเทศ, ฉลากไทยครบถ้วนก่อนจำหน่าย และทำ PIF ในไทยพร้อมตรวจได้ ⬜
NOTE : สิ่งที่สำคัญมากที่สุดคือต้อง ขึ้นทะเบียน อย. เพื่อให้ลูกค้าซื้ออย่างมั่นใจ และเพื่อให้การทำตลาดปลอดภัยตามกฎหมาย นอกจากนี้ควรพิจารณาการจด ลิขสิทธิ์ชื่อแบรนด์และเครื่องหมายการค้า (Trademark) เพื่อปกป้องธุรกิจในระยะยาว
บทความที่เกี่ยวข้อง โรงงานผลิตครีมขั้นต่ำเท่าไหร่ ผลิตน้อย 100 ชิ้นต้องขอ อย. ไหม? มือใหม่ต้องรู้ก่อนเริ่มแบรนด์
ผลิตครีมสูตรเฉพาะ ขอสิทธิบัตรได้ไหม? ไขข้อสงสัยเรื่องการคุ้มครองสูตรความงาม
5. ออกแบบบรรจุภัณฑ์และโลโก้ให้โดดเด่น
แพ็กเกจจิ้งคือสิ่งแรกที่ดึงดูดสายตาลูกค้า ดังนั้นการออกแบบควรสะท้อนคาแรกเตอร์แบรนด์ เช่น
- ใช้โทนสีอ่อนสำหรับความเป็นธรรมชาติ
- ใช้ดีไซน์มินิมอลเพื่อความทันสมัย
- เพิ่มจุดขายด้วยข้อความ เช่น “อ่อนโยนต่อผิวแพ้ง่าย”
นอกจากนี้ ยังต้องเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้าของแบรนด์ ว่าสามารถดึงดูดความสนใจของลูกค้าได้อย่างแน่นอน
6. วางแผนการตลาดออนไลน์ตั้งแต่เริ่มต้น
ในยุคดิจิทัล การสร้างแบรนด์ครีมไม่ใช่แค่การผลิต แต่ต้องมีแผนโปรโมททั้งออนไลน์ เช่น
- ทำเพจ Facebook, Instagram, TikTok
- ลงโฆษณาออนไลน์ (Facebook Ads, Google Ads)
- ทำ SEO เว็บไซต์ด้วยคีย์เวิร์ด “ผลิตครีม, สร้างแบรนด์ครีม, โรงงานผลิตครีม”
- ร่วมงานกับอินฟลูเอนเซอร์รีวิว
รวมถึงงานออฟไลน์อื่นๆ เช่น
- การติดต่อวางจำหน่าย พร้อมจัดงานอีเว้นต์ ณ จุดขาย
- ลงทุนซื้อป้ายโฆษณา ป้ายประกาศ บิลบอร์ด ตามจุดที่คนสามารถเห็นโฆษณาได้มากที่สุด
- การซื้อโฆษณทีวี เป็นสปอนเซอร์รายการทีวีต่างๆ เพื่อให้แบรนด์ถูกพูดถึงและเป็นที่จดจำ
7. บริหารต้นทุนและวางแผนการเงิน
การลงทุนทำแบรนด์ครีมมีทั้งต้นทุนการผลิต ค่าออกแบบแพ็กเกจจิ้ง ค่าโฆษณาและการตลาด ดังนั้นควรวางแผนการเงินล่วงหน้า เช่น
- งบขั้นต่ำในการผลิตล็อตแรก
- ค่าการตลาดที่ใช้ดึงดูดลูกค้า
- กำไรต่อหน่วยที่คาดหวัง
บทความที่เกี่ยวข้อง ใช้เงินเท่าไหร่ถึงจะสร้างแบรนด์เครื่องสำอางได้ในปี 2025?
สุดท้ายนี้ ผู้เขียนขอแจก Check List ที่เหมาะสำหรับมือใหม่สร้างแบรนด์ครีมตัวเองครั้งแรก ได้นำไปใช้
✅ Checklist การเตรียมตัวสร้างแบรนด์ครีมครั้งแรก
ขั้นตอน | สิ่งที่ต้องทำ | เช็ค ✔️ |
1. ศึกษาตลาดและลูกค้าเป้าหมาย | – หาข้อมูลว่าลูกค้าอยากได้ครีมแบบไหน (ครีมสิว, ครีมบำรุงผิว, ครีมกันแดด)
– วิเคราะห์คู่แข่ง |
⬜ |
2. กำหนดคอนเซปต์แบรนด์ | – เลือก USP หรือจุดขายที่แตกต่าง (เช่น ออร์แกนิก, ผิวแพ้ง่าย, ซึมไว)
– ตั้งชื่อแบรนด์ที่จดจำง่าย |
⬜ |
3. เลือกโรงงานผลิตครีม | – ตรวจสอบมาตรฐาน GMP, ISO, อย., HALAL
– ดูรีวิวและผลงานที่ผ่านมา |
⬜ |
4. สูตรและการทดสอบผลิตภัณฑ์ | – คุยกับโรงงานเรื่องสูตรที่ต้องการ
– ทดลองใช้จริงและเก็บ Feedback |
⬜ |
5. จัดการเรื่องกฎหมาย | – ขึ้นทะเบียน อย. ให้ถูกต้อง
– จดทะเบียนเครื่องหมายการค้า (Trademark) |
⬜ |
6. ออกแบบบรรจุภัณฑ์ | – เลือกดีไซน์ โลโก้ และแพ็กเกจจิ้งที่ตรงกับแบรนด์
– ใส่ข้อมูลผลิตภัณฑ์ตามกฎหมาย |
⬜ |
7. วางแผนการตลาด | – เปิดเพจโซเชียล (Facebook, IG, TikTok)
– วางกลยุทธ์โฆษณาออนไลน์และรีวิว |
⬜ |
8. วางแผนการเงิน | – คำนวณต้นทุนการผลิตและการตลาด
– กำหนดราคาขายและกำไรต่อหน่วย |
⬜ |
9. เตรียมช่องทางการขาย | – ออนไลน์ (Shopee, Lazada, Website, Social Media)
– ออฟไลน์ (ร้านขายของ, คลินิกความงาม) |
⬜ |
10. วางระบบบริการลูกค้า | – เตรียมทีมตอบแชท/คอมเมนต์
– บริการหลังการขายและการรับประกัน |
⬜ |
สรุป
การ สร้างแบรนด์ครีมตัวเองครั้งแรก ไม่ใช่เรื่องยาก หากคุณเตรียมตัวอย่างเป็นขั้นตอน ตั้งแต่การวิเคราะห์ตลาด วางคอนเซปต์ เลือกโรงงานผลิตครีมที่ได้มาตรฐาน ไปจนถึงการออกแบบบรรจุภัณฑ์และทำการตลาดออนไลน์ หากวางแผนดีตั้งแต่เริ่ม แบรนด์ของคุณก็จะมีโอกาสเติบโตและสร้างยอดขายได้จริงในตลาดความงามที่แข่งขันสูง หากกำลังมองหาพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจที่จะทำให้แบรนด์คุณประสบความสำเร็จ ติดต่อโรงงานชาร์มคอสเมท ได้เลยค่ะ